วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 02, 2558

ล่องเรือใบกลางทะเล 8 วัน กับที่เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด

                                     บทความนี้แปลมาจากต้นฉบับบทความภาษาอังกฤษที่แหนเขียนเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว

ครอบครัวเราออกเดินทางจากเมืองชาร์ลอตต์ อะมาลี (Charlotte Amalie) หมู่เกาะเวอร์จิ้นของสหรัฐอเมริกา (United States Virgins Islands) สัปดาห์ที่แล้ว โดยมีจุดหมายปลางทางที่ประเทศเกรเนดา (Grenada) เกาะทางตอนใต้ของทะเลแคริบเบียน อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเดินทางคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดประมาณ 4-5 วัน แต่เราใช้เวลาล่องเรือไปทั้งหมด 8 วัน โดยที่เดินทางมาถึงแค่ครึ่งทาง  

เพราะสาเหตุใดน่ะหรือ เพราะเมื่อเราแล่นเรือใบแผนการทุกอย่างต้องสามารถยืดหยุ่นได้ ครั้งนี้เราตั้งใจว่าจะแล่นเรือใบให้ได้มากที่สุดและใช้เครื่องยนต์ให้น้อยที่สุดเพื่อประหยัดเงินค่าน้ำมัน เราต้องแล่นเรือต้านลมที่พยายามพัดเรือเราให้กลับไปทิศทางเดิมเป็นเวลากว่า 2 วัน ถึงแม้ว่าเราจะพยายามล่องเรือซิกแซกตามแรงลมแต่ก็ไม่สามารถต้านคลื่นลมแรงได้ พยากรณ์อากาศของสัปดาห์ที่เราออกเดินทางนั้นถือว่าดีมาก ลมตอนกลางวันไม่แรงมาก คลื่นสูงไม่สูง แต่พอตกเวลากลางคืนอากาศแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อเริ่มมืดทั้งเสียงพื้นและผนังไม้บนเรือดังเอี๊ยดอ๊าดตลอดเวลาและเรือโคลงมาก เราล่องเรืออยู่ที่เดิมมา 2 วัน โดยที่ระยะทางไม่คืบหน้าเลย แล่นเรือกลับไปกลับมาตลอด 2 วันที่ผ่านมา แต่อย่างน้อยก็ไม่มีเครื่องมือหรืออะไรชำรุด

คืนวันที่ 3 ระหว่างที่ฉันพยายามกล่อมลูกเข้านอน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังและมีกลิ่นแปลกๆ หลังจากที่ฉันตะโกนถามฌูเอาว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็รีบวิ่งออกมาดู ฉันรู้สึกโชคดีที่กัปตันเรือฌูเอาไม่ได้หลับในเพราะความเหนื่อย เสียงที่ดังขึ้นนั้นเกิดจากหัวแก๊สแตกและแก๊สรั่ว ทำให้มีเสียงดังและกลินเหม็น แต่ฌูเอาสามารถปิดวาล์วถังแก๊สได้ทันเวลา เขาบอกกับฉันหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นว่า เขานึกในใจว่าจะโยนถังแก๊สลงทะเลแล้ว แต่ก็สามารถปิดวาล์วไว้ได้ทัน ฌูเอาได้แผลจากที่พยายามปิดวาล์วด้วยมือเปล่าขณะที่แก๊สรั่ว ทำให้มีแผลไหม้ที่นิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีอะไรสาหัส เราไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่คาดว่าน่าจะมาจากการที่เรือโคลงมากจนทำให้ข้อต่อของหัวแก๊สแยกออกจากกัน อุบัติเหตุประเภทนี้ถือว่าเป็นปัญหาหลักของนักเดินเรือที่เราต้องล่องเรือ ถังแก๊สที่เป็นสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์ระหว่างการเดินทาง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับว่าเรานำระเบิดเวลาล่องเรือไปกับเราด้วย การเดินทางต่อมาใน 5 วันที่เหลือ เราไม่สามารถหุง ต้ม หรือปรุงอาหาร เราต้องรับประทานอาหารที่ไม่จำเป็นต้องปรุงสุก เช่น ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ขนมปัง คุ้กกี้ อาหารกระป๋อง นมสด และทิ้งอาหารสดที่มีทั้งหมดลงทะเล แม้กระทั่งจะต้มน้ำร้อนเพื่อต้มบะหมี่สำเร็จรูปทาน หรือชงกาแฟร้อนเรายังทำไม่ได้ แต่ไม่มีอะไรที่ร้ายแรงเพียงแค่ฉันอยากทานอาหารที่ปรุงใหม่และซดน้ำแกงร้อนๆ  สำหรับลูกทารกของเราไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเพราะบนเรือของเราเต็มไปด้วยอาหารสำเร็จรูปสำหรับทารก ธัญพืช น้ำผลไม้ อาหารว่าง และนมสด ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถหุงต้มอาหารแต่ลูกของเราก็ยังได้ทานอาหารที่มีสารอาหารครบ จริงๆ แล้วฉันรู้สึกเศร้านิดหน่อยเพราะได้วางแผนเมนูอาหารไว้ตลอดการเดินทางแล้ว ตั้งแต่อาหารเช้า กลางวัน เย็น หรือแม้แต่อาหารว่าง แต่ก็กลับต้องโยนอาหารสดทั้งหมดทิ้งทะเลไป ทำให้เสียแผน

หมายเหตุ สำหรับครอบครัวและเพื่อนๆ ของเรา ไม่ต้องเป็นห่วง เราทานอาหารครบทุกมื้อ ไม่ได้อดอาหารมื้อไหนเลย เราทานผลไม้และผักสดแทน เช่น แคนตาลูป สับปะรด แอ้ปเปิ้ล ส้ม แพร์ แครอท มะเขือเทศ หัวหอมใหญ่ และแทบจะได้แตะอาหารกระป๋องสำเร็จรูป

เราชอบช่วงเวลาในการเดินทางครั้งนี้มาก ครอบครัวเราใช้เวลาร่วมกันตลอด เราสอนคำศัพท์ใหม่ๆ ให้ลูก เรานั่งชมวิวคลื่นทะเล ชี้นกด้วยกัน เราฟังดนตรี เต้นรำ และลูกเราก็เลียนแบบท่าทางที่เราทำ เราอาบน้ำด้วยกัน และทุกครั้งที่เรือโคลงมาเรีย ดีมักจะทำเสียง "ไอ่ ไหย่ ไหย๊" หลายๆ ครั้ง วาดรูปหลายภาพ หรือถ้าจะให้อธิบายดีๆ ก็ขีดๆ เขียนๆ มากกว่าที่จะวาดรูปเป็นภาพวาด มาเรีย ดีเล่นกับโนแอล และพาตุ๊กตาของเธอเข้านอน เราเล่นน้ำฝนด้วยกัน เรานอนเตียงเดียวกันและมาเรีย ดีก็หลับในอ้อมอกฉัน (ปกติแล้วเธอจะนอนในห้องนอนของเธอคนเดียว) เราทำกิจกรรมหลายอย่างด้วยกัน ฉันชอบช่วงเวลาแห่งความสุขนี้มาก และไม่มีสิ่งไหนที่สามารถมาทดแทนได้

ฉันไม่ได้รู้สึกอึดอัดและไม่เบื่อเลยถ้าจะต้องลอยอยู่กลางน้ำทะเลสีฟ้าเป็นเดือนๆ ฉันมองดูคลื่นทะเลและฉันก็ไม่ต้องทานยาแก้เมาเรือแล้ว ฉันชอบนั่งดูท้องฟ้ากลางทะเลเพราะมันสวยมาก ท้องฟ้าแต่ละวันแตกต่างกันสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันแต่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีในทุกๆ วัน ทุกนาทีและพระอาทิตย์ตกดินในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน ปัญหาของเราอยู่ที่ว่าน้ำมันใกล้หมดและลมก็เริ่มแรงขึ้นทำให้เราล่องเรือโดยใช้ใบเรืออย่างเดียวยากขึ้น เราพยายามที่จะล่องเรือซิกแซกตามคลื่นลมอยู่หลายวันแต่ก็ไม่สามารถต้านลมได้ หลังจากที่ล่องเรืออยู่ที่เดิมมาหลายวันเราก็ตัดสินใจสตาร์ทเครื่องยนต์ใช้น้ำมันที่เหลือในถังสุดท้ายขับเรือต้านลมตรงเข้าสู่เกาะที่ใกล้ที่สุด และภาวนาให้น้ำมันพอที่จะให้เราไปถึงเกาะของประเทศโดมินิกา

เราไม่ได้วางแผนจะหยุดพักเรือที่ไหนเลยเพราะเรากะว่าจะล่องเรือตรงไปที่ประเทศเกรเนด้า แต่จริงๆ แล้วแผนแรกที่เราวางไว้คือ เราล่องเรือจากหมู่เกาะเวอร์จิ้นของสหรัฐอเมริกาไปเรื่อยๆ ทีละเกาะ เมื่อเหนื่อยก็หยุดพักเรือโดยที่ไม่ขึ้นบก ไปเรื่อยๆ ทีละเกาะจนถึงเกรเนด้า แต่เรากลับเปลี่ยนแผนโดยไม่มีสาเหตุและตัดสินใจล่องเรือรวดเดียวเป็นระยะทางประมาณ 430 ไมล์ซึ่งมีจุดหมายปลางทางไปยังประเทศเกรเนด้า สิ่งที่ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้คือถ้าเราวางแผนอะไรไว้แล้วก็ควรยึดแผนการเดิมและเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตัวเอง

เราเดินทางล่องเรือมาถึงประเทศโดมินิกาบริเวณระหว่างเมืองโรโซ (Roseau ) และพอร์ทเม้าท์ (Portsmouth) ช่วงเวลาเช้าตรู่ วันที่เราไปถึงหมอกลงหนา บรรยากาศเงียบสงบและวิวที่เต็มไปด้วยภูเขาสีเขียวขจี คงจะคล้ายกับที่หนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งอธิบายเกี่ยวกับประเทศโดมินิกาไว้ว่า "ถ้าคริสต์โตเฟอร์ โคลัมบัสเดินทางกลับมายังทะเลแคริบเบียนอีกครั้ง ประเทศโดมินิกาคงเป็นประเทศเดียวที่เขาจะจำได้" 

เมื่อเราเติมพลังกองทัพด้วยอาหารท้องถิ่นปรุงใหม่ร้อนๆ และเติมน้ำมันจนเต็มถังเรือแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะไปเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวบนเกาะของประเทศโดมินิกา ที่ๆ เราเดินทางมาถึงโดยความบังเอิญ
ออกเดินทางจากเมืองชาร์ลอตต์ อะมาลี (Charlotte Amalie) หมู่เกาะเวอร์จิ้นของสหรัฐอเมริกา (United States Virgin Islands)
วิวพระอาทิตย์ตกวันแรก 
กิจกรรมของลูกเรือ
กางใบเรือทั้งหมดเป็นครั้งแรก
สาหร่ายทะเลรอบเรือ
ผู้โดยสารบนเรือใบดี
เวลาที่ไม่มีลม กัปตันก็ของีบบ้าง
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่สอง
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่สาม
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่สี่
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่ห้า
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่หก
ฝนครึ้มตอนบ่ายของวันที่เจ็ด
ล่องเรือใบมาถึงโดมินิกาตอนเช้าตรู่
วิวประเทศโดมินิกา
สถานที่ๆ เราล่องเรือใบมาถึงที่โดมินิกา

0 comments:

แสดงความคิดเห็น