วันศุกร์, กันยายน 13, 2556

ประสบการณ์ที่มิอาจลืม ณ เมืองฟาติมา




ครอบครัวโกเมส ณ เมืองฟาติมา ฤดูร้อน 2013
ตอนที่ฉันตั้งครรภ์สิ่งเดียวที่เราทั้งสองคนคำนึงมากที่สุดคือสุขภาพของลูกน้อยที่จะเกิดมาลืมตาดูโลก เราทั้งสองคนสวดมนต์ขอพรให้ลูกของเราเกิดมาเป็นเด็กที่สมบูรณ์และแข็งแรง เราทั้งสองไม่ได้สนใจการอัลตร้าซาวน์ว่าเขาจะเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง ตราบเท่าที่เขาเป็นเด็กสมบูรณ์เราก็ดีใจแล้ว ขณะที่ฉันกำลังรอผลตรวจร่างกายครั้งสุดท้ายในการก่อนการตั้งครรภ์ คุณหมอตรวจพบเชื้อไวรัสท๊อกโซพลาสโมซิสในเลือดของฉัน หากชั้นเป็นพาหะของเชื้อนี้ขณะที่ฉันกำลังตั้งครรภ์อาจจะส่งผลร้ายแรงต่อระบบประสาทของตัวอ่อนในครรภ์ ท๊อกโซพลาสโมซิสเป็นเชื้อปรสิตที่มีสาเหตุมาจากสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแมว แมวเป็นสาเหตุหลักๆ ในการติดเชื้อ แต่การสัมผัสกับเนื้อดิบ เช่น เนื้อหมู ก็สามารถเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อได้เช่นเดียวกัน
แต่ฉันหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้นเมื่อผลตรวจออกมาปกติ ฉันได้รับเชื้อไวรัสนี้มาตั้งแต่ฉันยังเด็กเพราะแม่ของฉันเลี้ยงแมวกว่าสิบตัวในบ้าน บ้านที่ฉันเติบโตขึ้นมา ข้อดีก็คือตอนนี้ฉันมีภูมิคุ้มกันชั้นดีเยี่ยมจากไวรัสนี้
นาเกลือที่เมืองฟิเกยร่า ดา ฟอซ ระหว่างทาง 
ความกลัวไม่ได้หายไปภายข้ามคืน เพราะหากเรามองดูโลกรอบตัวเรา ทั้งมลภาวะหรือแม้ว่าเราจะมีเครื่องมือ เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากแค่ไหนก็ตาม แต่ใครจะรู้ว่าลูกน้อยของเราที่กำลังจะลืมตาดูโลกจะสมบูรณ์ดี ช่วงหน้าร้อนปี 2012 ตอนที่ฉันตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 เดือน เรามีโอกาสได้ไปสักการะพระแม่ฟาติมาที่ประเทศโปรตุเกส ฉันและฌูเอาได้กราบไหว้ขอให้ลูกน้อยของเราเกิดมาลืมตาดูโลกด้วยสุขภาพและร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ แล้วเราจะเดินจากหมู่บ้านของฌูเอามาที่เมืองฟาติมาแห่งนี้เพื่อแสดงความเคารพและขอขอบคุณ
ฉันนับถือศาสนาพุทธ ฌูเอานับถือคาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก แต่เราทั้งสองคนเคารพศาสนาซึ่งกันและกันเพราะเราเชื่อว่าไม่ว่าศาสนาอะไรก็ตามล้วนแล้วแต่สนับสนุนให้ทุกคนเป็นคนดี ฌูเอาเข้าวัดกับฉันทุกครั้งที่เราเดินทางไปเมืองไทย เช่นเดียวกันกับฉันที่ไปโบสถ์กับฌูเอาทุกครั้งที่เรามีโอกาสด้วยกัน

จุดพักให้ผู้แสวงธรรมได้ใช้น้ำฟรี

ตอนนี้เราทั้งคู่ได้รับการคุ้มครองจากเทวดาและเทพยดาทุกพระองค์ถึงเวลาที่เราจะทำตามที่เราได้สัญญาเอาไว้ เราทั้งคู่ตั้งใจเดินทางไปประเทศโปรตุเกสอีกครั้งเมื่อหน้าร้อนปี 2013 ที่ผ่านมา เพื่อจะใช้เวลาพักร้อนของเราอุทิศให้แก่พระแม่
ฟาติมา เราใช้เวลาเดินจากหมู่บ้านของฌูเอา เมืองมิร่า แคว้นโกอิมบร้า ไปยังเมืองฟาติมาทั้งหมดร่วม 4 วัน ระยะทางกว่า 140 กิโลเมตร เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมากที่สุดที่เราสามารถทำได้สำเร็จเป็นการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่คนที่เรารัก ตลอดสองข้างทางระหว่างที่เราเดินไปยังเมืองฟาติมา เราเห็นสิ่งอำนวยความสะดวกและจุดพักสำหรับผู้แสวงธรรมจำนวนมาก ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ใช่คนแรกคือคนเดียวที่เดินตามทางนี้ แต่เราเจริญรอยตามบุคคลเหล่านั้นต่างหาก เราเห็นวิว ทิวทัศน์ ภูมิประเทศของโปรตุเกสที่แตกต่างออกไปจากที่เราเคยเห็นมา เราได้พบผู้คนที่กล่าวทักทาย ให้กำลังใจและช่วยเหลือเพื่อให้เราสามารถสำเร็จภาระกิจของเรา เราทั้งคู่ถือว่าโชคดีมากที่มีพ่อแม่ที่น่ารัก พ่อและแม่ของฌูเอาเดินทางไปกับเราด้วย พวกเขาขับรถตามขณะที่เรากำลังเดินและจอดพักเป็นระยะๆ เช็คดูว่าเราทั้งคู่ยังไหวมั้ย บาดเจ็บหรือเปล่า แน่นอนในเมื่อมันเป็นแนวทางของผู้แสวงธรรมและเป็นการเสียสละ เราเดินทั้งตุ่มและแผลที่เท้า กล้ามเนื้ออักเสบ แดดที่แผดเผา และอื่นๆ อีกมากที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ใช่ง่ายๆ กว่าเราจะเดินไปถึงจุดหมายปลายทาง ช่วงเวลาที่เราไปถึงเป็นช่วงเวลาที่เราเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปได้ มันรู้สึกดีใจและภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่เรากำลังเดินไปยังแท่นประดิษฐานรูปปั้นของพระแม่ฟาติมา เรารู้สึกอย่างกับพระแม่ฟาติมาส่องแสงสว่างตามทางเดิน มาเรีย ดีก็เดินกับเราด้วยในช่วงสุดท้าย ราวกับปาฏิหารย์ มาเรีย ดีอารมณ์ดี ร่าเริง และยิ้มตลอดทาง ในที่สุดภาระกิจของเราที่เปี่ยมไปด้วยความสุขก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี

วิวจากด้านบนของภูเขาใกล้กับเมืองฟาติมา

เมืองฟาติมา อีก 3 กิโลเมตร เท่านั้น!
สิ่งมีค่าที่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้คือ พลังแห่งรัก” สามารถพิชิตทุกสิ่ง ดูจากพ่อและแม่ของฌูเอาหรือจากสิ่งที่เราได้ทำ ทั้งหมดนี้ล้วนมาจาก ความรัก พวกเขารักเราจึงไปกับเรา เรารักลูกของเราๆ จึงกราบไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และกลับมาทำตามที่เราได้สัญญาไว้ ฉันรักฌูเอา ถึงแม้ว่าฉันนับถือศาสนาพุทธแต่ฉันก็สนับสนุนและพร้อมที่จะยืนเคียงข้างฌูเอาเสมอ มีคนถามฉันว่า ทำไมฉันถึงไปเดินแสวงบุญกับฌูเอา ฉันเป็นชาวพุทธ ฉันเชื่อหรือนับถือหรอ คำตอบก็ง่ายๆ เพราะ ความรัก” ถ้าคุณรัก คุณจะมีความศรัทธา และคุณจะศรัทธาในทุกสิ่งที่ทำ
ตอนนี้คงถึงเวลาที่เราทั้งสองคนจะศรัทธาซึ่งกันและกัน ช่วยกันข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับวิถีชีวิตใหม่ ที่บ้านหลังใหม่ ตลอดการเดินทางที่เราวางแผนเอาไว้ ฉันมั่นใจว่าเราทั้งสองคนจะแบ่งปัน ห่วงใย รัก และยืนเคียงข้างกันเหมือนกับที่เราได้ผ่านประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ที่ฟาติมาด้วยกันมาแล้ว
ระหว่างช่วงหยุดพักในวันสุดท้ายของการเดิน ดูสีหน้าของมาเรีย ดี ว่าดีใจแค่ไหนที่ได้เห็นหน้าพ่อแม่ ยิ้มแป้นเชียว 
พ่อ-ลูกถวายเทียนให้แก่พระแม่ฟาติมา ณ เมืองฟาติมา
ขออธิบายขยายความบางส่วนเพื่อให้ทุกคนสามารถทำความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันได้ง่ายยิ่งขึ้น
1. พระแม่ฟาติมา ชาวตะวันตกหรือผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์มักจะคุ้นเคยกันดี เชื่อว่าพระแม่ฟาติมา คือพระแม่มารีย์ที่ปรากฏกาย ณ เมืองฟาติมา ประเทศโปรตุเกส การปรากฏกายของพระแม่ฟาติมา มี 3 ครั้งด้วยกันที่ถือว่าเป็นครั้งสำคัญ คือ การปรากฏกายต่อเด็กเลี้ยงแกะ 3 คน ได้แก่ ลูเซีย ฟรานซิสโก และเจซินต้า ครั้งแรกเพื่อแจ้งให้ชาวโลกได้เห็นภาพของนรก และบอกให้ทุกคนทำความดี ครั้งที่สอง เพื่อแจ้งแก่เด็กเลี้ยงแกะทั้งสามคนได้ทราบว่า สงครามโลกครั้งที่หนึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงแต่จะมีสงครามโลกครั้งที่สองต่อมา ครั้งที่สาม เป็นการเตือนว่าพระสันตะปาปาจอห์น ปอลล์ที่ 2 จะเสียชีวิต แต่ท้ายที่สุดพระสันตะปาปาได้รอดชีวิตจากการลอบปลงพระชนม์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ค.ศ. 1981 
2. การเดินเพื่อไปยังเมืองฟาติมา ถือเป็นวิถีของผู้แสวงธรรม ไม่ได้เหมือนกับการแก้บนของศาสนาพุทธของเราทั้งหมดเสียทีเดียว คริตศาสนิกชนบางคนถือว่าการเดินเพื่อไปยังเมืองฟาติมาเป็นการครองธรรม ประชาชนทั่วไปจึงมักจะช่วยเหลือหากผู้ที่กำลังเดินแสวงธรรมต้องการ เพราะถือว่าตนเองจะได้รับบุญกุศลนั้นด้วย แต่ก็มีเช่นเดียวกันที่บางคนได้ไปสวนมนต์และขอพรจากพระแม่ฟาติมาในเรื่องต่างๆ และมาเดินเหมือนเป็นการแก้บน หรือแสดงความขอบคุณ และแสดงศรัทธาที่มีต่อพระแม่ฟาติมา การเดินแสวงธรรมไปยังเมืองฟาติมานั้น ครั้งสำคัญที่สุดคือวันที่ 13 พฤษภาคมและ 13 ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันที่พระแม่ฟาติมาได้ปรากฎกายระหว่างช่วงวันที่ 13 พฤษภาคม และ 13 ตุลาคม  ค.ศ. 1917 ณ เมืองฟาติมา ซึ่งทั้งสองวันนี้จะมีการทำพิธีสวดมนต์โดยมีผู้ที่ศรัทธาเดินทางมาจากทุกทั่วสารทิศมาร่วมพิธี
3. การถวายเทียน ณ เมืองฟาติมา หรือการเผาเทียน คงเปรียบคล้ายกับการถวายเทียนพรรษา ของทางศาสนาพุทธ แทนที่เขาจะจุดธูปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนทางศาสนาพุทธ ชาวตะวันตกเชื่อว่าแสงเทียนเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซู แสงไฟแห่งโลกทั้งมวล หากย้อนไปยังยุคเก่า ผู้คนมักจะจุดเทียนเพื่อเป็นไฟส่องทางในชีวิตของพวกเขา และยังเชื่อกันว่าแสงเทียนมีพลังที่สามารถเชื่อมจิตวิญญาณของเราได้ในขณะที่เราทำสมาธิ ดังนั้น ชาวคริสต์จึงนิยมที่จะถวายเทียนหรือเผาเทียน และหากเราลองสังเกตุในโบสถ์ทางทวีปยุโรปมักจะมีตู้บริจาคเงินและมีเทียนตั้งอยู่
4. การใส่เสื้อสีสันสะท้อนแสง ไม่ใช่ว่าเราอยากเป็นผู้นำแฟชั่น แต่เป็นกฎระเบียบข้อบังคับของประเทศโปรตุเกสที่ทุกคนไม่ว่าใครก็ตามที่เดินบนถนนทางหลวง จำเป็นต้องใส่เสื้อสีสันสะท้อนแสงนี้ เพื่อให้สัญญาณและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้บนท้องถนน รวมถึง ในรถยนต์แต่ละคันจำเป็นต้องมีเสื้อแจ็คเก็ตสีสะท้อนแสงนี้ไว้ในรถทุกคัน และเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือรถเสีย ก่อนจะลงจากรถจำเป็นต้องใส่เสื้อนี้ก่อน ซึ่งกฎนี้บางประเทศในยุโรปถือว่าเป็นกฎหมายเลยทีเดียว 

1 comments:

ขอแม่พระจงคุ้มครองด้วยนะครับ

แสดงความคิดเห็น