วันอังคาร, มกราคม 23, 2561

คูราเซา (Curaçao) หัวใจ (Coração) การักษา (Curação)

บทความนี้แปลมาจากต้นฉบับบทความภาษาอังกฤษที่แหนเขียน
Dee with Curação flag background 
“ขอบลูลากูน (Blue Lagoon) ที่นึงค่ะ"! บลูลากูน (Blue Lagoon) เป็นเครื่องดื่มค๊อกเทลที่มีเหล้าบลูคูราเซา (Blue Curaçao) เป็นส่วนผสม... อาจจะเป็นเพราะชื่อของเหล้าบลูคูราเซา (Blue Curaçao) ทำให้คูราเซา (Curaçao) เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เพราะเกาะคูราเซา (Curação) เป็นแหล่งที่ผลิตเหล้าบลูคูราเซา (Blue Curaçao) ซึ่งสกัดจากส้มที่มีรสขมในท้องถิ่น ฉันไม่อยากจะเขียนเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเท่าไหร่นักเพราะมันทำให้ฉันรู้สึกคอแห้งขึ้นมาทันที ฉันได้เขียนบทความหลายบทเกี่ยวกับเกาะที่เราเคยเดินทางไป แต่ก็ไม่เคยเขียนเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวกับเกาะคูราเซา (Curaçao) เลย ไม่ใช่เพราะว่าคูราเซา (Curaçao) ไม่มีเรื่องราวอะไรให้เอ่ยถึง แต่ความรู้สึกของฉันเกี่ยวกับคูราเซา (Curaçao) นั้นมีมากล้นตั้งแต่เดือนกันยายนเมื่อปี พ.ศ. 2559 ที่เราเดินทางย้ายกลับมาโปรตุเกสเนื่องจากปัญหาสุขภาพของฉัน

คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักคูราเซา (Curaçao) จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ชื่อของเกาะคูราเซา (Curaçao) เป็นคำเก่าแก่ที่มีความหมายว่ารักษา (Curação) ในภาษาโปรตุเกส ในช่วงปลายคริสตวรรษที่ 15 ไม่เพียงแต่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ที่พยายามค้นพบดินแดนโลกใหม่ แต่ยังมีนักเดินเรือจากชาติอื่นๆ ที่แล่นเรือในพื้นที่นั้นเช่นกัน ระหว่างการเดินทางไปยังอเมริกาใต้ลูกเรือจำนวนมากล้มป่วยลง ซึ่งปัจจุบันเรารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แล้วว่าการขาดวิตามินซีเป็นสาเหตุหลักในการล้มป่วยในหมู่นักเดินเรือที่เดินเรือกลางทะเลเป็นระยะเวลานาน ลูกเรือบางส่วนถูกปล่อยเกาะที่คูราเซา (Curaçao) แต่ระหว่างการเดินทางกลับได้พบว่านักเดินเรือที่เคยป่วยกลับมามีสุขภาพแข็งแรงจากวิตามินซีของผลไม้บนเกาะ ดังนั้น นักสำรวจโบราณจึงตั้งชื่อเกาะนี้ว่าคูราเซา (Curaçao) ที่มาจากภาษาโปรตุเกสโบราณ Curação หมายถึงการรักษา บางตำรากล่าวว่านักเดินเรือชาวสเปนเรียกเกาะนี้ว่า ซึ่งแปลว่าหัวใจในภาษาสเปน (Curazon) แต่ได้เพี้ยนเสียงและตัวสะกดเป็นภาษาโปรตุเกส (Coraçã) ก่อนที่สเปนจะย้ายออกจากเกาะนี้ไปเนื่องจากขาดแคลนน้ำและการขุดค้นเครื่องเงิน
เรือชาวประมงท้องถิ่นที่อ่าวคาราคาส (Caracas Bay)

ปัจจุบันคูราเซา (Curaçao) เป็นประเทศอิสระภายในราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม เนเธอร์แลนด์ยังคงรับผิดชอบต่อการทหารและนโยบายต่างประเทศ โคซอ (Kòrsou) เป็นชื่อภาษาปาเปียเมนตู (Papiamentu) ของคูราเซา (Curaçao) ซึ่งภาษาปาเปียเมนตู (Papiamentu) เป็นหนึ่งในภาษาทางการเช่นเดียวกันกับภาษาดัตช์ ภาษาปาเปียเมนตู (Papiamentu) เป็นภาษาที่มีการผสมผสานระหว่างภาษาโปรตุเกส ภาษาสเปน ภาษาดัตช์ และภาษาแอฟริกัน ที่ใช้เป็นภาษาการสื่อสารหลักระหว่างทาสกับเจ้านายในสมัยก่อน บริษัทดัตช์เวสต์อินดีสได้ (Dutch West Indies) เข้ามายึดครองเกาะคูราเซา (Curaçao) เมื่อปีพศ. 1632 และจัดตั้งสวนเกษตรและทำเกษตรกรรม ทำให้คูราเซา (Curaçao) กลายเป็นท่าเรือที่สำคัญของชาวดัตช์ เนื่องจากที่ตั้งปลอดภัยและมีแนวป้องกันชายฝั่งจากทะเล 

ฉันสรุปข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเกาะคูราเซา (Curaçao) ให้ทุกคนได้นึกภาพตามเกี่ยวกับเกาะเนเธอร์แลนด์แอนทิลส์ (The Netherlands Antilles) นี้ได้ อย่างไรก็ตาม คูราเซา (Curaçao) เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวโปรตุเกส เนื่องจากปัจจุบันมีชุมชนชาวโปรตุเกสขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในคูราเซา (Curaçao) ทำไมน่ะหรือ? เนื่องจากในปีพ. ศ. 2453 บริษัท แคริบเบียนปิโตรเลียม (Caribbean Petroleum ) ซึ่งเป็น บริษัทย่อยของกลุ่มรอยัลเชลล์แองโกล – ดัตช์ (a subsidiary of the Anglo-Dutch Royal Shell Group) ได้ค้นพบแหล่งน้ำมันที่ประเทศเวเนซุเอลา แต่ท่าเรือของเวเนซุเอลาไม่มีแนววป้องกันชายฝั่งและน้ำทะเลลึกไม่เพียงพอ ดังนั้น บริษัทในกลุ่มเชลล์จึงได้ตัดสินใจสร้างโรงกลั่นน้ำมันขึ้นที่เกาะคูราเซา (Curaçao) ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมมากกว่า ขณะนั้นบริษัทพยายามที่จะรับสมัครแรงงานจากทั่วทุกแห่งในทะเลแคริบเบียน ท้ายที่สุดก็ได้แรงงานชาวโปรตุเกสจำนวนมากจากเกาะมาเดยร่า (Madeira) เกาะกลางมหาสมุทรแอตแลนติกของประเทศโปรตุเกส หลังจากเสร็จสิ้นการก่อสร้างชาวโปรตุเกสบางส่วนได้ย้ายกลับประเทศ แต่บางส่วนได้ตัดสินใจที่จะอาศัยที่เกาะคูราเซา (Curaçao) ต่อ จึงทำให้เกิดชุมชนลูกหลานชาวโปรตุเกสให้เราได้เห็นทุกวันนี้  
ชาวท้องถิ่นเชื้อสายโปรตุเกสจากมาเดยร่า (Madeira) ในชุดประจำชาติ
ครอบครัวเรามีโอกาสพบกับลูกหลานผู้ที่มีเชื้อสายโปรตุเกสหลายคนในคูราเซา และบางคนก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีมากของครอบครัวเรา ฉันจะไม่ลงไปในรายละเอียดของบุคคลต่างๆ ที่เราพบที่เกาะคูราเซา (Curaçao) มิฉะนั้นรายชื่อจะยาวไม่สิ้นสุดในบทความนี้
ประชากรของคูราเซา (Curaçao) เดิมเป็นชาวอาราวัก (Arawak) แต่วันนี้คูราเซา (Curaçao) กลายเป็นเกาะที่มีความหลายหลายทางเชื้อชาติทั้งดัตช์, โปรตุเกส, ยุโรป, เวเนซุเอลา, โคลัมเบีย, ซูรินาม และเชื้อชาติอื่นๆ ที่ไม่ได้เอ่ยข้างต้น ในปี 2018 ประชากรของคูราเซา (Curaçao) อยู่ที่ประมาณ 161,112 คน ฉันชอบเกาะมาร์ตินิกซึ่งเป็นเกาะของประเทศฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของทะเลแคริบเบียนด้วยเหตุผลการเดินทางที่สะดวกระหว่างทวีปยุโรปกับเกาะนั้น เช่นเดียวกันกับคูราเซา (Curaçao) ที่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงอัมสเตอร์ดัมและเมืองอื่นๆ ในยุโรปวันละหลายเที่ยวบิน หรือแม้กระทั่งเที่ยวบินตรงจากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ฉันไม่สามารถพูดภาษาดัตช์หรือภาษาปาเปียเมนตู (Papiamentu) ก็ไม่มีปัญหาเพราะชาวท้อวถิ่นใช้ภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลาย ชาวคูราเซา (Curaçao) เชื้อสายโปรตุเกสหลายคนยังคงสามารถพูดภาษาโปรตุเกส ภาษาปาเปียเมนตู (Papiamentu)  ภาษาดัตช์ และภาษาสเปนได้ ฉันรู้สึกประทับใจมากเมื่อได้พบกับชาวบ้านที่สามารถพูดได้อย่างน้อยห้าภาษา ซึ่งเป็นเรื่องปกติในหมู่ชาวท้องถิ่นบนเกาะนี้!
สกุลเงินของคูราเซา (Curaçao)
เพื่อนนักเดินเรือจากประเทศผรั่งเศส โปรตุเกส และออสเตรีย 
เพื่อนนักเดินเรือจากประเทศเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์
แล้วชาวท้องถิ่นเค้ากินอะไรกันที่คูราเซา (Curaçao)? ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าเกาะนี้มีความหลากหลายมากมาย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากหลายเชื้อชาติตั้งแต่ ดัตช์ อินโดนีเซีย โปรตุเกส บราซิล อิตาลี ครีโอล จีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่อาหารอเมริกัน! ครอบครัวเราชอบอาหารง่ายๆที่เราสามารถหาได้เกือบทุกร้านอาหารริมถนนเรียกว่า Piska ku Funchi เป็นปลากะพงแดงกับโพเลนต้า (polenta คือเมล็ดข้าวโพดบดละเอียดมีลักษณะคล้ายแป้ง) เนื่องจากคูราเซา (Curaçao) มีตลาดปลาสดมาก ครอบครัวเราจึงมักซื้อปลามาทำอาหารบนเรือเสมอ ครั้งหนึ่งเราได้ซื้อเนื้อปลาฉลามที่ไม่มีกระดูกใด ๆ ขึ้นใหญ่มากแต่มีราคาเพียงแค่ 10 ยูโร ซึ่งเยอะมากถึงขนาดที่สามารถนำไปทำอาหารได้ถึงสามวัน! แล้วคูราเซา (Curaçao) ทำให้ฉันได้รู้ว่าเนื้อปลาฉลาดอร่อยไม่แพ้เนื้อปลาทูน่าเลย สิ่งนึงที่ฉันคิดถึงมากเมื่อเอ่ยถึงอาหารที่คูราเซา (Curaçao) คือ เคเอฟซี (KFC) ใช่แล้วค่ะ คุณอ่านไม่ผิดหรอก ไก่ทอดสไตล์อเมริกัน (KFC) นั่นแหละที่ทำให้ฉันคิดถึงคูราเซา (Curaçao) มากอาจจะเป็นเพราะเครื่องเทศในแคริบเบียนที่อาจจะผสมลงไปในเนื้อแป้ง ที่ทำให้รสชาติของไก่ทอดที่นี่แตกต่างจากที่อื่น ซึ่งครอบครัวเราโหวตให้เคเอฟซี (KFC) บนเกาะคูราเซา (Curaçao) เป็นเคเอฟซี (KFC) ที่อร่อยที่สุด ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เราอยู่ที่เกาะคูราเซา (Curaçao) เป็นช่วงระหว่างการแข่งขันชิงแชมป์ฟุตบอลยุโรป และเราพบร้านอาหารโปรตุเกส! ลองนึกภาพดูว่าครอบครัวเราไม่ได้กลับบ้านในโปรตุเกสเกือบสี่ปี และพบร้านอาหารโปรตุเกสครั้งแรกที่เสิร์ฟเมนู Leitão (ลักษณะหมูหันสไตล์โปรตุเกส) ซึ่งหนึ่งในหุ้นส่วนร้านอาหารแห่งนี้ก็มาจากเมืองที่เป็นต้นตำรับอาหารจานนี้ คูราเซา (Curaçao) เป็นท่าเรือหลักในพื้นที่นั้น จึงทำให้อุดมไปด้วยอาหารหลากหลายให้เลือกสรรในซุปเปอร์มาร์เก็ตในราคายุติธรรม อ้อ! ฉันลืมเล่าไปว่าฉันมีโอกาสได้กินแตงโมหวานที่สุดในชีวิตที่เคยกินแตงโมมาที่เกาะคูราเซา (Curaçao) ซึ่งผลไม้ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศเวเนซุเอลา 
อัมสเทล ไบรท์ Amstel Bright ที่มีแค่ในแคริบเบียนเท่านั้น

บริออน (Brion), เบียร์จากคูราเซา (Curaçao)
ชาวประมงดัตช์

แตงโมหวานๆ จากเวเนซุเอลา

Leitão (หมูหันสไตล์โปรตุเกส)
 ที่ร้านอาหารพิรี พิรี (Piri Piri)

ปลาหมีกที่เราตกได้จากข้างเรือ

หลังจากที่เราตัดสินใจพักอยู่ที่คูราเซา (Curaçao) เป็นระยะเวลานาน เราจึงตัดสินใจหาโรงเรียนอนุบาลให้ลูก ซึ่งฉันได้เขียนเรื่องราวและรายละเอียดไว้ในบทความภาษาอังกฤษเมื่อก่อนหน้านี้ไว้แล้ว ด้านการแพทย์ เมื่อเวลาไปหาหมอมักจะมีคำถามๆ ว่า เรามีประกันสุขภาพหรือไม่ เหมือนกับเกาะอื่นๆ ในแคริบเบียน คลินิกเอกชนหลายแห่งและโรงพยาบาลหลักให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ จากประสบการณ์ของฉันที่โรงพยาบาล Sint Elisabete Hospitaal (SEHOS) เป็นสถานที่ที่ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม แพทย์ที่นี่ได้รับการฝึกฝนและทำงานตามมาตรฐานยุโรป และแพทย์ส่วนใหญ่เป็นชาวดัตช์ ถึงแม้ว่าการทำงานที่มีประสิทธิภาพแต่โรงพยาบาลนี้เป็นเพียงแค่โรงพยาบาลหลักแห่งเดียวบนเกาะ จึงทำให้ชาวท้องถิ่นบางคนมักจะหาทางเลือกด้านการแพทย์ โดยมักจะเดินทางไปรักษาที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างโคลัมเบียที่มีบริการมีคุณภาพและมีค่าใช้จ่ายที่อาจจะน้อยกว่า  

ฟู้ดทรัคขายไอศครีมที่คูราเซา (Curaçao)
ถ้าเขียนบทความเกี่ยวกับคูราเซา (Curaçao) โดยที่ไม่เอ่ยถึงทะเลเลยก็เหมือนกับยังมาไม่ถึงทะเลแคริบเบียน ทะเลของคูราเซา (Curaçao) มีลักษณะเฉพาะที่มีน้ำทะเลใส สะท้อนเงาทะเลเป็นสีฟ้าเกือบทั้งหมด ครอบครัวเรามีโอกาสไปเที่ยวหาดต่างๆ ของคูราเซา (Curaçao) แต่ก็ไปได้จำนวนไม่ถึงครึ่งเพราะคูราเซา (Curaçao) มีชาดหาดที่น่าสนใจเยอะมาก มีทั้งกิจกรรมชายหาดและร้านอาหารอยู่บริเวณใกล้เคียง บางหาดมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว ส่วนหาดอื่น ๆ ก็เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน บางที่ยังมีบริการร้านอาหารและบริการแบบเต็มรูปแบบ แต่ก็มีอีกหลายแห่งที่ยังคงธรรมชาติที่บริสุทธิ์เอาไว้ ซึ่งชายหาดที่มีชื่อเสียงบางแห่งเราอาจจะต้องจ่ายค่าเข้าประมาณ 10 ดอล์ล่าสหรัญ นอกจากทะเลแล้ว คูราเซา (Curaçao) ยังมีกิจกรรมหลากหลายมากมาย เช่น ทัวร์ขี่จักรยาน สวนสนุก สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สนามกอล์ฟ ไนท์คลับ การล่องเรือแบบวันเดียว ดำน้ำ โรงภาพยนตร์ ทัวร์ถ้ำต่างๆและอื่นๆ ดังนั้น เราจึงไม่ต้องกังวลกับการเลือกกิจกรรมเพื่อเอาใจคนวัยต่างๆ 
หาดเวสปุนท์ (Westpunt)
หาดคนิป (Knip) 

หาดซี อะควาเรียม (Sea Aquarium)

หาดซานตา ครูซ (Santa Cruz)

หาดซานตา บาร์บาร่า

หาดมัมโบ (Mambo)

หาดจาน เทียล (Jan Theil) 
บทความนี้จะไม่สมบูรณ์หากฉันไม่เขียนถึงกิจกรรมที่เกี่ยวกับเรือ ทุกๆ เช้าฉันชอบสังเกตุดูเรือรอบๆ ว่าเป็นเรือที่มีธงชาติมาจากประเทศอะไร แต่ที่น่านน้ำของคูราเซา (Curaçao) นั้นไม่ค่อยวุ่นวายหรือมีการเคลื่อนไหวมาก ไม่เหมือนกับหมู่เกาะเวอร์จิ้น (Virgins islands) เรือส่วนใหญ่ที่เดินทางมาคูราเซา (Curaçao) มักจะหยุดพักก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศโคลัมเบียหรือปานามา บางคนก็คล้ายๆ กับครอบครัวเราที่หยุดเรือที่คูราเซา (Curaçao) เท่าที่วีซ่ากำหนด ตลอดเวลาที่เราทอดสมอที่คูราเซา (Curaçao) เราอยู่ที่อ่าว Spanish Waters แม้ว่าน้ำทะเลในอ่าวนี้ดูเข้ม มีลักษณะขมุกขมัว แต่น้ำในอ่าวนี้สะอาดขนาดที่เราสามารถจับปลาหมึกและเห็นเต่าทะเลได้เกือบทุกวัน และอ่าวนี้ยังสะดวกในการเดินทางเข้าเมืองหลวงวิลเลมสตาด (Willemstad) ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือแม้แต่มีฟิตเนสเซ็นเตอร์อยู่ใกล้ๆ ก่อนที่เราจะจากคูราเซา (Curaçao) มา เราได้ล่องเรือมายังทิศตะวันออกเพื่อผ่านสะพานควีน เอมม่า (Queen Emma Bridge) ในเมืองหลวงวิลเลมสตาด (Willemstad) ซึ่งเป็นที่ตั้งของคูราเซา มารีน (Curaçao Marine) มารีน่าที่เราเลือกที่จะนำเรือใบ “ดี” ขึ้นบก จากบรรดาตัวเลือกหลายๆ มารีน่า

กิจกรรมที่อ่าว Spanish Waters
แล้วคูราเซา(Curaçao) อยู่ที่ไหน? เกาะคูราเซา (Curaçao)  ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลแคริบเบียนและถ้าเราดูแผนที่โลก คูราเซา(Curaçao) และเกาะพี่น้องอีกสองเกาะคือ อารูบา (Aruba) และโบแนร์ (Bonaire) ตั้งอยู่เหนือประเทศเวเนซุเอลา หากมีโอกาสควรจะไปเที่ยวที่ คูราเซา (Curaçao) ดูสักครั้งแล้วคุณจะไม่ผิดหวัง ดูชิ (Dushi Curaçao) จากใจ (Coração) ของฉัน!

ดูชิ (Dushi) เป็นคำในภาษาปาเปียเมนตู (Papiamentu) มีความหมายว่า ดี อ่อนหวาน วิเศษ ซึ่งเป็นคำที่อธิบายภาพของคูราเซา(Curaçao) ได้เหมาะสมที่สุด  

Dushi Curaçao

วันศุกร์, เมษายน 14, 2560

ฉันใช้เวลา 1095 วัน พาลูกท่องเที่ยว

ระหว่างล่องเรือกลางทะเล
คำว่า “แม่” เป็นคำนิยามที่ไม่มีสิ้นสุด แม่เป็นทั้งพี่เลี้ยง แม่ครัว เพื่อนเล่น พยาบาล ครู  แม่เป็นทุกอย่างของลูก แต่ลูกจะรู้บ้างไหมว่าลูกคือดวงใจของแม่ ลูกเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เกิดจากความรักของพ่อและแม่ แม่ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีเคยมีหน้าที่การงานที่สังคมเป็นคนกำหนดว่าเราควรจะทำ จนทำให้เวลาที่ลูกเติบโตนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม่ไม่สามารถย้อนเวลาช่วงที่ลูกเป็นเด็กให้กลับคืนมาได้ พ่อกับแม่เลยยอมละทิ้งหน้าที่การงานและหันมาใช้เวลากับลูกอย่างเต็มที่ แต่จะให้พ่อกับแม่มานั่งจ้องหน้าลูกทั้งวันทั้งคืนที่บ้านก็คงไม่มีความหมาย พ่อกับแม่จึงพาลูกออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่หลายคนมองเห็นว่าพ่อกับแม่ทำไปโดยไม่ยั้งคิดและพาลูกไปประสบอันตราย
เล่นน้ำทะเลครั้งแรกที่ประเทศสาธารณรัฐโดมินิกัน

ว่ายน้ำรอบๆ เรือ สองขวบหกเดือน
ฉลองวันเกิดครบสองขวบที่เซนต์ลูเซีย
พ่อกับแม่มองเห็นว่ารากฐานของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เป็นช่วงเวลาที่พ่อกับแม่ได้ใช้กับลูกอย่างเต็มที่ เราอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง พ่อกับแม่ได้สังเกตเห็นพัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูกทุกวัน และได้หยิบยื่นสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ใครๆ ต่างคิดว่าลูกยังเล็กจำความอะไรคงไม่ได้ สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่สถานที่ แต่อยู่ที่เราได้ใช้เวลาของเราร่วมกันอย่างเต็มที่ วางรากฐานชีวิตและแนะนำประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เค้าได้เรียนรู้
สามขวบเจ็ดเดือน
ปั้นบัวลอย

เรียนรู้ขับเรือเล็กครั้งแรก
ลูกจะรู้บ้างไหมว่าลูกโชคดีแค่ไหนที่ได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง พ่อกับแม่พาลูกไปล่องเรือใบตั้งแต่ครบขวบแรก ตั้งแต่ที่ลูกยังเดินไม่ได้ ยังพูดไม่รู้เรื่อง ยังใส่ผ้าอ้อม ยังตื่นมากินนมตอนกลางคืน จนถึงวันนี้ลูกเดินทางมาแล้วเกือบ 20 ประเทศ ลูกคงจำความไม่ได้ครั้งแรกที่ลูกเหยียบเม็ดทรายแล้วลูกร้องไห้เพราะตกใจที่คลื่นทะเลซัดมาโดนเท้าเล็กๆ ของลูก เมาเรือครั้งแรกตอนหนึ่งขวบกับสามเดือน เพื่อนคนแรกของลูกมีผิวสีเข้มกว่าลูกและพูดคนละภาษากับลูก ลูกไปโรงพยาบาลครั้งแรกในที่ๆ พ่อกับแม่ก็ไม่คุ้นเคยเพราะลูกท้องเสีย ครั้งแรกที่ลูกกระโดดลงน้ำทะเลจากเรือใบ ครั้งแรกที่ลูกว่ายน้ำได้เองโดยที่ไม่ต้องใส่แว่นตากันน้ำ ครั้งแรกที่ลูกตกปลาได้เอง เสียงหัวเราะ เสียงกรีดร้องที่แสดงถึงความสนุกสนาน ลูกจะรู้ไหมว่าแม่ก็อมยิ้มไปด้วย
ห่วงยางบนเรือของเล่นของลูก 

หลังจากเดินได้แล้วก็หัดขึ้นบันไดเข้าออกเรือ

หนึ่งขวบเก้าเดือนที่ ประเทศเซนต์ลูเซีย

หนึ่งขวบหกเดือน เห็นปลาเป็นๆ ครั้งแรก

สามขวบช่วยแม่ตากผ้า

อาบน้ำฝนครั้งแรกตอนสองขวบ

เพื่อนใหม่ของลูก
พ่อกับแม่เหนื่อยมากที่ต้องดูแลลูกเต็มเวลา แบบที่ไม่มีผู้ช่วย ไม่มีปู่ย่าตายายคอยช่วย พ่อกับแม่ต้องคอยระวังไม่ให้อันตรายใดๆ เกิดกับลูกและครอบครัวเรา ถือว่าว่าเป็นงานหนักยิ่งกว่างานประจำที่พ่อกับแม่เคยทำ แต่ประสบการณ์ที่เราทั้งหมดได้มีร่วมกันนั้นเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่หวังว่าลูกพอจะจำได้บ้าง วัฒนธรรมและสถานที่ต่างๆ ที่เราไปกันมาคงทำให้ลูกเข้ากับคนได้ง่าย ให้ลูกไม่แบ่งชั้นวรรณะหรือเชื้อชาติ ธรรมชาติที่ลูกได้ไปเห็นด้วยตัวเอง พ่อกับแม่ก็หวังว่าเมื่อลูกโตขึ้นลูกจะเห็นคุณค่าของสัตว์ และพืชพันธุ์แต่ละชนิด ทุกวันนี้พ่อกับแม่ก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าน้ำทะเลจะลึก คลื่นจะสูง พายุ ฟ้าผ่า ความมืด ไม่มีอะไรที่ทำให้ลูกของแม่กลัวเลย สิ่งทั้งหมดนี้ที่พ่อกับแม่ทำไปก็หวังว่าเมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ลูกคงจะรู้ว่าพ่อกับแม่รักลูกมากแค่ไหน เมื่อลูกหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดูและเห็นรอยยิ้มของเราทั้งหมด ลูกคงจะรู้ว่าเรามีความสุขกันมากแค่ไหนในระหว่างที่เราท่องเที่ยวโลกกว้างไปด้วยกัน  
ไปดำน้ำดูปลากับแม่ สามขวบหนึ่งเดือนที่กัวเดอลุป

ไปดำน้ำดูปลากับพ่อ สามขวบสี่เดือน
กัปตันน้อยสองขวบสามเดือน

วันพุธ, กรกฎาคม 20, 2559

โบแนร์, บอน บินิ (Bonaire, Bon Bini)

บทความนี้แปลมาจากต้นฉบับบทความภาษาอังกฤษที่แหนเขียน
ป้ายจราจรของเกาะโบแนร์
ความรู้สึกแรกของฉันเมื่อฉันก้าวบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ คือ ฉันประทับใจโบแนร์มาก เรามาถึงที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจ แผนการเดินทางแรกที่เราวางไว้คือ ล่องเรือจากเกาะกัวเดอลุปโดยมีจุดหมายปลายทางที่เกาะคูราเซา ซึ่งมีระยะทางประมาณ 520 ไมล์ทะเล แต่เครื่องยนต์เรือของเราเกิดมีปัญหาระหว่างการเดินทาง จึงเป็นเหตุให้เราตัดสินใจพักการเดินทางที่เกาะโบแนร์และตรวจความเรียบร้อยของเรือก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังคูราเซา ที่เกาะโบแนร์นี้ไม่อนุญาตให้ทอดสมอเรือทุกบริเวณรอบเกาะ แต่ทางการได้มีที่ผูกเรือ Moorings เตรียมไว้ให้เพียงพอต่อความต้องการของนักเดินเรือ โดยมีค่าธรรมเนียม 10 ดอลล่าร์สหรัฐต่อวัน ถือว่าราคาไม่แพงและสมเหตุสมผล แต่เนื่องจากครอบครัวเรามีกำลังจ่ายที่จำกัด ค่าใช้จ่ายนี้ถือว่าเป็นภาระเพิ่มเติมจากรายจ่ายปกติของครอบครัวเรา จึงเป็นที่น่าเสียดายที่เราแวะพักที่เกาะโบแนร์นี้เพียงแต่เจ็ดวัน เป็นระยะเวลาที่สั้นที่สุดในการเดินทางเยี่ยมชมแต่ละเกาะของเรา แต่ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่ได้วางแผนแต่ก็สร้างความประทับใจให้ฉันเป็นอย่างมาก
Mooring ใต้น้ำ
"ดี" ผูกเรือกับ mooring
ปลาจำนวนมากใต้ท้องเรือใบ "ดี"
โบแนร์หนึ่งในหมู่เกาะเอบีซี (อะรูบา, โบแนร์ และคูราเซา) เป็นหมู่เกาะของประเทศเนเธอร์แลนด์ กฎหมายของประเทศเนเธอแลนด์บังคับใช้ที่นี่ ตามข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปี 2010ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่า 10.10.10 เกาะโบแนร์, คูราเซา, ซาบา, เซนต์เอสตาทิอุส และเซนต์มาตินได้ยกเลิกฐานะการเป็นประเทศภายใต้ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์  ปัจจุบันได้กลายเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศเนเธอร์แลนด์ เกาะโบแนร์มีการปกครอบแบบเขตเทศบาลเมืองพิเศษ ภาษาที่ใช้เป็นทางการคือ ดัตช์และปาเปียเมนตู (Papiamentu) ปาเปียเมนตูเป็นภาษาท้องถิ่นซึ่งมีรากฐานมากจากภาษาโปรตุเกส, สเปน, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์ และแอฟริกัน นอกจากนั้น ภาษาสเปนและอังกฤษใช้กันอย่างแพร่หลายบนเกาะโบแนร์ ประชากรจำนวนมากอพยพมาจากโคลัมเบียและเวเนซุเอลาเพื่อมาหางานทำที่โบแนร์ จึงเป็นอีกเหตุผลนึงว่าทำไมชาวบ้านส่วนมากถึงพูดภาษาสเปน แม้แต่ชาวจีนที่อาศัยที่โบแนร์นี้ยังใช้ภาษาสเปนแทนภาษาอังกฤษ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่นี่เล่าว่าประชากรของโบแนร์มีเพียง 18,000 คน หากเปรียบเทียบกับมาเก๊าที่ๆ ครอบครัวเราเคยอาศัยอยู่ตัวเลขของประชาชนเท่ากันแต่ต่างกันที่ มาเก๊ามีประชากร 18,000 คน ต่อหนึ่งตารางเมตร!

เนื่องจากครอบครัวเราเคยอาศัยที่มาเก๊า ประเทศจีน ทำให้เรามีความคุ้นเคยกับชาวจีน ทั้งวีถีชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรม เมื่อเราออกเดินทางล่องเรือทางทะเลไปยังแต่ละเกาะ เรามักจะพบกับชาวจีนทุกเกาะ โดยเฉพาะที่โบแนร์ทุกมุมถนนบนถนนหนึ่งสายเราจะพบกับซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหารที่มีเจ้าของเป็นชาวจีน จนทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าจำนวนประชากรจาก 18,000 คน ของโบแนร์ 8,000 คน อาจจะเป็นชาวจีน! เรามีโอกาสแวะไป Van den Tweel ซุปเปอร์มาร์เก็ตสไตล์ดัตช์ซึ่ง Albert Heijn มีสาขาอยู่ทุกแห่งในประเทศเนเธอร์แลนด์ หากเปรียบเทียบราคาสินค้าที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้กับที่อื่นๆ ในหมู่เกาะแคริบเบียน ที่นี่ถือว่ามีราคาถูกกว่ามาก นอกจากสินค้าที่ส่งตรงมาจากเนเธอร์แลนด์แล้ว ที่นี่ยังมีบริการรถรับส่งให้แก่นักเดินเรือฟรีทุกวันอังคารและวันศุกร์ เวลา 17.00 น. ครอบครัวเราไม่มีโอกาสใช้บริการรถรับส่งจากซุปเปอร์มาเก๊ตเพราะเรามักจะเดินไปยังซุปเปอร์มาเก็ตเมื่อถึงเวลาที่ต้องตุนเสบียงอาหารให้ท้องเราอิ่ม โดยใช้เวลาเดินไปกลับเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่การเดินถือเป็นส่วนหนึ่งของการเที่ยวชมบ้านเมืองและเป็นกิจกรรมของครอบครัวเราไปด้วยในตัว
ขนมปังร้อนๆ จากเตา ที่ซุปเปอร์มาเก็ตสไตล์ดัตช์
ป้ายรถเมล์ที่เกาะโบแนร์
โบแนร์ถือเป็น "สวรรค์ของนักดำน้ำ" บริเวณส่วนใหญ่ของเกาะเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมธสำหรับนักประดาน้ำ  25 เหรียญ และ 10 เหรียญ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักประดาน้ำ กฎข้อจำกัดที่นี่เข้มงวดมาก เรือทุกลำจำเป็นต้องสำแดงปืนฉมวก (Fishing gun หรือ Speargun) โดยที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะเก็บไว้ตลอดระยะเวลาที่เราอยู่บนเกาะ และจะคืนให้เมื่อเราทำการแจ้งการเดินทางออกจากเกาะ นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องสำแดงจำนวนเรือยางและเรือคายัคที่มีทั้งหมด นักเดินเรือสามารถตกปลาจากเรือของตนเองได้ ยกเว้นการตกปลานกปากนกแก้ว (Parrot fish) และห้ามจับสัตว์ทะเลที่มีเปลือกแข็งและปะการัง หากขัดขืนมีโทษปรับที่สูงมาก
วิวชายทะเลของเกาะโบแนร์เล็ก (Klein Bonaire)
พระอาทิตย์ตกดินที่โบแนร์
สำหรับการชำระเงินค่าผูกเรือ moorings การซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำประปา สามารถติดต่อได้ที่ฮาร์เบอร์ วิลเลจ มารีน่า ฉันจำรายละเอียดราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ไม่ได้ แต่จำได้ว่าก๊าซสำหรับหุงต้มสำหรับถังขนาดประมาณ 20-25 กิโลกรัมมีราคาสูงถึง 100 เหรียญ น้ำประปาราคาไม่ได้แพงมากนัก น้ำมันเบนซินและดีเซลมาจากเกาะคูราเซาซึ่งมีราคาที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าฉันเห็นป้ายรถประจำทางทั่วไปรอบ ๆ เกาะ แต่ชาวบ้านที่นี่บอกกับเราว่าโบแนร์ไม่มีรถโดยสารสาธารณะ รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ และจักรยานมีให้เช่าหลายที่บนเกาะ ฉันได้สำรวจราคาค่าเช่ามอเตอร์ไซด์ตกวันละประมาณ 16 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากที่นี่เป็นเกาะเล็ก ๆ การจราจรไม่มากและพวกเขาไม่ได้มีกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับการใช้หมวกกันน็อกเท่าไหร่นัก สกุลเงินที่นี่ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ฉันไม่เห็นคนที่นี่ใช้สกุลเงินกิลเดอร์ (กิลเดอร์เป็นสกุลเงินที่ใช้แพร่หลายในหมู่เกาะของเนเธอร์แลนด์ เช่น เซนมาติน คูราเซา เป็นต้น) ร้านค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งรับสกุลเงินยูโร แต่ไม่รับเหรียญยูโร บัตรเอทีเอ็มของฉัน (มาสเตอร์การ์ดจากเอเชีย) ใช้ได้กับเครื่องเอทีเอ็มของธนาคาร Maduro Curiel เพียงแห่งเดียว ซึ่งค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศแต่ละครั้งอยู่ที่ 4  เหรียญ ฉันพยายามกดเงินจากตู้ธนาคารอื่นซึ่งมีค่าธรรมเนียมสูงถึง 6  เหรียญ แต่บัตรเอทีเอ็มของฉันก็ใช้ไม่ได้กับตู้ธนาคารอื่น
สำนักงานการท่องเที่ยวโบแนร์ ที่ๆ เราสามารถมาใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตได้ฟรี
คำขวัญของโบแนร์ “Bonaire, Once a Visitor Always a Friend” มีความหมายคร่าวๆ ว่า เมื่อนักท่องเที่ยวได้มาเยือนโบแนร์ครั้งนึงแล้วก็จะกลายเป็นเพื่อนกันตลอดไป ฉันคิดว่าเป็นคำจำกัดความที่เหมาะสมดีที่สุดสำหรับเกาะนี้ ครอบครัวเรามีโอกาสติดต่อและขอข้อมูลโดยตรงจากสำนักงานการท่องเที่ยว สำนักงานการท่องเที่ยวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมกับรอยยิ้ม ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเรารู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น เจ้าหน้าที่ของสำนักงานการท่องเที่ยวโบแนร์พยายามให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาการติดต่อสื่อสารทางไกลของเรา ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่เรารับรู้ได้ถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่ๆ ช่วยลงแรงติดต่อโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศหลายต่อหลายสาย และยังคะยั้นคะยอว่าหากเราต้องการความช่วยเหลืออีก สามารถแวะมาได้ทุกเมื่อ จากประสบการณ์ระหว่างการล่องเรือรอบโลกของเราที่ได้ติดต่อและสอบถามข้อมูลโดยตรงกับองค์กรการท่องเที่ยวของหลายเกาะในทะเลแคริบเบียน ฉันยืนยันได้ว่าการทำงานของสำนักงานการท่องเที่ยวของโบแนร์ทำงานด้วยใจ 
คำขวัญประจำเกาะโบแนร์
อะไรที่ทำให้โบแนร์พิเศษว่าที่อื่น
สำหรับฉันๆ มักจะมองหาสถานที่ๆ เหมาะแก่การตั้งรกรากของครอบครัวของเราหลังจากที่ฉันเสร็จสิ้นการเดินทางล่องเรือรอบโลก ฉันชอบที่จะอาศัยอยู่ในสถานที่เงียบสงบซึ่งมีอาหารหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ง่ายต่อการเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ และมีสภาพอากาศที่ดี ตามความคิดของฉันโบแนร์มีทั้งหมดที่ฉันมองหา!

**หมายเหตุ*** บอน บินิ ( Bon Bini) เป็นภาษาปาเปียเมนตู มีความหมายว่า ยินดีต้อนรับ

วันพฤหัสบดี, มกราคม 14, 2559

ชีวิต 3 ปี บนเรือ!



730 วัน 17 เกาะ 11 ประเทศ 
2120 ไมล์ทะเล ในแคริบเบียน

ฉันยังจำวันแรกที่ย่างเท้าเหยียบบนเรือ เรือใบที่มาจากเงินเก็บน้ำพักน้ำแรง วันที่เราลาออกจากงานประจำ และวันที่ครอบครัวเราตัดสินใจทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังแล้วออกเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน แม้ว่าฉันยังรู้สึกคิดถึงพ่อแม่ เพื่อน และสถานที่ๆ จากมา แต่พระอาทิตย์ตกดินทุก 730 วัน กับสามี ลูก และเพื่อนสี่ขาผู้ซื่อสัตย์นั้นมีค่ามาก ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าโชคดีมากแค่ไหน

วันนี้ย่างเข้าปีที่ 3 แล้ว ที่เราใช้ชีวิตไม่เหมือนคนอื่น ที่เราอยู่บนบ้านลอยน้ำ ที่เราต้องเดินทางย้ายจากเกาะนึงไปยังอีกเกาะนึงเสมอ บ้านที่เราอยู่ให้ความสะดวกสบายและให้ความรู้สึกปลอดภัยตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าหลายคนจะไม่รู้ว่าเราผลิตไฟฟ้าใช้เอง กรองน้ำเค็มเป็นน้ำจืด มีตู้เย็น เตาอบ แอร์และพัดลม ห้องน้ำ สายฝักบัวและเครื่องทำน้ำอุ่น (ที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่) โทรศัพท์สัญญาณดาวเทียว และทีวี เราแค่ใช้ชีวิตแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะเรานอนบนเรือ กินบนเรือ และ-ี้บนเรือ!

ชีวิตของฉันเปลี่ยนไป
ฉันอ่านหนังสือมากขึ้นเพราะเรามีเทคโนโลยีน้อยลงทำให้เรามีเวลาเหลือมากขึ้น การเดินทางไปที่ใหม่ๆ สอนให้ฉันปรับตัวเข้าหาคนท้องถิ่น ภาษา และอาหารพื้นเมือง ฉันรู้จักคำว่า “ให้” มากขึ้นเมื่อฉันมีของที่ไม่จำเป็น ฉันมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น ฉันได้พบกับคนที่ไม่เพียงแต่ไม่รู้จักต้มยำกุ้ง ผัดไทย หรือข้าวเหนียวมะม่วง แต่พวกเข้าไม่รู้ว่าประเทศไทยอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่ามันคงไกลมาก คนที่ยังคิดว่าภาษาไทยมีรากฐานมาจากภาษาจีน หรือพนักงานไปรษณีย์ที่ไม่รู้ว่าประเทศไทยตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ฉันยิ้มให้กับคนที่ฉันไม่รู้จัก ฉันพึ่งพาตนเองก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ ฉันรักตัวเองและดูแลตัวเองแบบพอดีเท่าที่จำเป็น ทุกอย่างรวมกันสอนให้ฉันมีความสุขกับสิ่งที่ฉันมี


อะไรคือสโลว์ไลฟ์ ? 
ใครๆ ก็พูดถึง แต่จริงแล้วๆ คืออะไร? ฉันยังใส่นาฬิกาเพื่อบอกเวลาไม่ใช่ราคา ฉันยังตื่นนอนเป็นเวลาเพราะความเคยชิน ฉันก็ถ่ายรูปที่ๆ เราไปเก็บไว้เป็นความทรงจำและเอาไว้ให้ลูกดูเมื่อเค้าโตขึ้น อาหารที่เรากินบนเรือก็คลีนเพราะปลาเราตกมาจากทะเล สโลว์ไลฟ์ของฉันไม่ได้นอนเอื่อยเฉื่อยหรือนั่งมองดูคลื่นทะเลไปวันๆ แต่เราพักงานเมื่อเราเหนื่อย เรากินเมื่อเราหิว เรากินเท่าที่เราหิว ใส่ใจเพื่อนเรือบ้านรอบข้าง ยื่นมือช่วยเหลือแม้ว่าเราเขาอาจจะไม่ต้องการ และทำกิจกรรมกับครอบครัว
ฉันไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ฉันยังใส่นาฬิกาเพื่อบอกราคา ยังถือกระเป๋ายี่ห้อนิยม และยังใส่เสื้อผ้าคุณภาพสมราคา เมื่อฉันต้องเดินทางกลับเข้าเมืองและปรับตัวเข้าหากับหน้าที่ สังคมเป็นสิ่งที่กำหนดให้เราเสนอภาพที่เราอยากให้คนเห็น ซึ่งบางครั้งก็เกินความจำเป็น

สถานที่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม
เล่นน้ำทะเลคนเดียวคงไม่สนุกเท่าเล่นกันสามคนพ่อแม่ลูก อาหารรสชาดแปลกใหม่กินคนเดียวก็ไม่อร่อย เบียร์เย็นๆ ของแต่ละประเทศคงไม่เพลินเท่ามีเพื่อนดื่มด้วย พระอาทิตย์ตกดินดูคนเดียวยังไงก็ไม่สวย ฉันบอกกับตัวเองเสมอว่าฉันโชคดีมาก ที่ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว ทำกิจกรรม และเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ ด้วยกัน จนทำให้สถานที่ๆ เราไปเยือนเป็นเพียงแค่องค์ประกอบของการเดินทาง



สิ่งที่ฉันคาดหวังในปีที่  3 ของการเดินทางที่จะมาถึง
เวลาที่เพื่อนๆ ถามฉันว่าเราจะเดินทางล่องเรือไปกันอีกนานแค่ไหน ฉันตอบแบบขำๆ เสมอว่า จนกว่าเงินจะหมด ซึ่งก็ใกล้จะหมดแล้ว หลายคนกระซิบถามมาว่าล่องเรือกันมาสองปีเต็มแล้วครอบครัวเราใช้เงินเก็บกันไปเท่าไหร่ ฉันตอบกระซิบแบบเบาๆ กลับไปว่า ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 1 และสุนัขอีก 1 กินอยู่ร่วมค่าซ่อมบำรุงทั้งหลาย คิดเป็นเงินได้กว่า 7 หลัก ภายในปีที่ 3 ของการล่องเรือรอบโลกของเรานี้ ฉันไม่หวังอะไรมาก เพียงแค่ให้เรายังสามารถเดินทางด้วยกันอีกต่อไป นานแค่ไหนไม่รู้ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนและเงินในกระเป๋าสตางค์เราคงจะได้ข้ามคลองปานามา และใช้เวลาในทะเลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคก่อนที่จะตัดสินใจล่องเรือข้ามมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก...เพราะชีวิตคือการเดินทาง


วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 02, 2558

ล่องเรือใบกลางทะเล 8 วัน กับที่เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิด

                                     บทความนี้แปลมาจากต้นฉบับบทความภาษาอังกฤษที่แหนเขียนเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว

ครอบครัวเราออกเดินทางจากเมืองชาร์ลอตต์ อะมาลี (Charlotte Amalie) หมู่เกาะเวอร์จิ้นของสหรัฐอเมริกา (United States Virgins Islands) สัปดาห์ที่แล้ว โดยมีจุดหมายปลางทางที่ประเทศเกรเนดา (Grenada) เกาะทางตอนใต้ของทะเลแคริบเบียน อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเดินทางคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดประมาณ 4-5 วัน แต่เราใช้เวลาล่องเรือไปทั้งหมด 8 วัน โดยที่เดินทางมาถึงแค่ครึ่งทาง  

เพราะสาเหตุใดน่ะหรือ เพราะเมื่อเราแล่นเรือใบแผนการทุกอย่างต้องสามารถยืดหยุ่นได้ ครั้งนี้เราตั้งใจว่าจะแล่นเรือใบให้ได้มากที่สุดและใช้เครื่องยนต์ให้น้อยที่สุดเพื่อประหยัดเงินค่าน้ำมัน เราต้องแล่นเรือต้านลมที่พยายามพัดเรือเราให้กลับไปทิศทางเดิมเป็นเวลากว่า 2 วัน ถึงแม้ว่าเราจะพยายามล่องเรือซิกแซกตามแรงลมแต่ก็ไม่สามารถต้านคลื่นลมแรงได้ พยากรณ์อากาศของสัปดาห์ที่เราออกเดินทางนั้นถือว่าดีมาก ลมตอนกลางวันไม่แรงมาก คลื่นสูงไม่สูง แต่พอตกเวลากลางคืนอากาศแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อเริ่มมืดทั้งเสียงพื้นและผนังไม้บนเรือดังเอี๊ยดอ๊าดตลอดเวลาและเรือโคลงมาก เราล่องเรืออยู่ที่เดิมมา 2 วัน โดยที่ระยะทางไม่คืบหน้าเลย แล่นเรือกลับไปกลับมาตลอด 2 วันที่ผ่านมา แต่อย่างน้อยก็ไม่มีเครื่องมือหรืออะไรชำรุด

คืนวันที่ 3 ระหว่างที่ฉันพยายามกล่อมลูกเข้านอน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังและมีกลิ่นแปลกๆ หลังจากที่ฉันตะโกนถามฌูเอาว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็รีบวิ่งออกมาดู ฉันรู้สึกโชคดีที่กัปตันเรือฌูเอาไม่ได้หลับในเพราะความเหนื่อย เสียงที่ดังขึ้นนั้นเกิดจากหัวแก๊สแตกและแก๊สรั่ว ทำให้มีเสียงดังและกลินเหม็น แต่ฌูเอาสามารถปิดวาล์วถังแก๊สได้ทันเวลา เขาบอกกับฉันหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นว่า เขานึกในใจว่าจะโยนถังแก๊สลงทะเลแล้ว แต่ก็สามารถปิดวาล์วไว้ได้ทัน ฌูเอาได้แผลจากที่พยายามปิดวาล์วด้วยมือเปล่าขณะที่แก๊สรั่ว ทำให้มีแผลไหม้ที่นิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีอะไรสาหัส เราไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่คาดว่าน่าจะมาจากการที่เรือโคลงมากจนทำให้ข้อต่อของหัวแก๊สแยกออกจากกัน อุบัติเหตุประเภทนี้ถือว่าเป็นปัญหาหลักของนักเดินเรือที่เราต้องล่องเรือ ถังแก๊สที่เป็นสิ่งหนึ่งที่มีประโยชน์ระหว่างการเดินทาง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับว่าเรานำระเบิดเวลาล่องเรือไปกับเราด้วย การเดินทางต่อมาใน 5 วันที่เหลือ เราไม่สามารถหุง ต้ม หรือปรุงอาหาร เราต้องรับประทานอาหารที่ไม่จำเป็นต้องปรุงสุก เช่น ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ขนมปัง คุ้กกี้ อาหารกระป๋อง นมสด และทิ้งอาหารสดที่มีทั้งหมดลงทะเล แม้กระทั่งจะต้มน้ำร้อนเพื่อต้มบะหมี่สำเร็จรูปทาน หรือชงกาแฟร้อนเรายังทำไม่ได้ แต่ไม่มีอะไรที่ร้ายแรงเพียงแค่ฉันอยากทานอาหารที่ปรุงใหม่และซดน้ำแกงร้อนๆ  สำหรับลูกทารกของเราไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเพราะบนเรือของเราเต็มไปด้วยอาหารสำเร็จรูปสำหรับทารก ธัญพืช น้ำผลไม้ อาหารว่าง และนมสด ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถหุงต้มอาหารแต่ลูกของเราก็ยังได้ทานอาหารที่มีสารอาหารครบ จริงๆ แล้วฉันรู้สึกเศร้านิดหน่อยเพราะได้วางแผนเมนูอาหารไว้ตลอดการเดินทางแล้ว ตั้งแต่อาหารเช้า กลางวัน เย็น หรือแม้แต่อาหารว่าง แต่ก็กลับต้องโยนอาหารสดทั้งหมดทิ้งทะเลไป ทำให้เสียแผน

หมายเหตุ สำหรับครอบครัวและเพื่อนๆ ของเรา ไม่ต้องเป็นห่วง เราทานอาหารครบทุกมื้อ ไม่ได้อดอาหารมื้อไหนเลย เราทานผลไม้และผักสดแทน เช่น แคนตาลูป สับปะรด แอ้ปเปิ้ล ส้ม แพร์ แครอท มะเขือเทศ หัวหอมใหญ่ และแทบจะได้แตะอาหารกระป๋องสำเร็จรูป

เราชอบช่วงเวลาในการเดินทางครั้งนี้มาก ครอบครัวเราใช้เวลาร่วมกันตลอด เราสอนคำศัพท์ใหม่ๆ ให้ลูก เรานั่งชมวิวคลื่นทะเล ชี้นกด้วยกัน เราฟังดนตรี เต้นรำ และลูกเราก็เลียนแบบท่าทางที่เราทำ เราอาบน้ำด้วยกัน และทุกครั้งที่เรือโคลงมาเรีย ดีมักจะทำเสียง "ไอ่ ไหย่ ไหย๊" หลายๆ ครั้ง วาดรูปหลายภาพ หรือถ้าจะให้อธิบายดีๆ ก็ขีดๆ เขียนๆ มากกว่าที่จะวาดรูปเป็นภาพวาด มาเรีย ดีเล่นกับโนแอล และพาตุ๊กตาของเธอเข้านอน เราเล่นน้ำฝนด้วยกัน เรานอนเตียงเดียวกันและมาเรีย ดีก็หลับในอ้อมอกฉัน (ปกติแล้วเธอจะนอนในห้องนอนของเธอคนเดียว) เราทำกิจกรรมหลายอย่างด้วยกัน ฉันชอบช่วงเวลาแห่งความสุขนี้มาก และไม่มีสิ่งไหนที่สามารถมาทดแทนได้

ฉันไม่ได้รู้สึกอึดอัดและไม่เบื่อเลยถ้าจะต้องลอยอยู่กลางน้ำทะเลสีฟ้าเป็นเดือนๆ ฉันมองดูคลื่นทะเลและฉันก็ไม่ต้องทานยาแก้เมาเรือแล้ว ฉันชอบนั่งดูท้องฟ้ากลางทะเลเพราะมันสวยมาก ท้องฟ้าแต่ละวันแตกต่างกันสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันแต่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีในทุกๆ วัน ทุกนาทีและพระอาทิตย์ตกดินในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน ปัญหาของเราอยู่ที่ว่าน้ำมันใกล้หมดและลมก็เริ่มแรงขึ้นทำให้เราล่องเรือโดยใช้ใบเรืออย่างเดียวยากขึ้น เราพยายามที่จะล่องเรือซิกแซกตามคลื่นลมอยู่หลายวันแต่ก็ไม่สามารถต้านลมได้ หลังจากที่ล่องเรืออยู่ที่เดิมมาหลายวันเราก็ตัดสินใจสตาร์ทเครื่องยนต์ใช้น้ำมันที่เหลือในถังสุดท้ายขับเรือต้านลมตรงเข้าสู่เกาะที่ใกล้ที่สุด และภาวนาให้น้ำมันพอที่จะให้เราไปถึงเกาะของประเทศโดมินิกา

เราไม่ได้วางแผนจะหยุดพักเรือที่ไหนเลยเพราะเรากะว่าจะล่องเรือตรงไปที่ประเทศเกรเนด้า แต่จริงๆ แล้วแผนแรกที่เราวางไว้คือ เราล่องเรือจากหมู่เกาะเวอร์จิ้นของสหรัฐอเมริกาไปเรื่อยๆ ทีละเกาะ เมื่อเหนื่อยก็หยุดพักเรือโดยที่ไม่ขึ้นบก ไปเรื่อยๆ ทีละเกาะจนถึงเกรเนด้า แต่เรากลับเปลี่ยนแผนโดยไม่มีสาเหตุและตัดสินใจล่องเรือรวดเดียวเป็นระยะทางประมาณ 430 ไมล์ซึ่งมีจุดหมายปลางทางไปยังประเทศเกรเนด้า สิ่งที่ฉันเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้คือถ้าเราวางแผนอะไรไว้แล้วก็ควรยึดแผนการเดิมและเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตัวเอง

เราเดินทางล่องเรือมาถึงประเทศโดมินิกาบริเวณระหว่างเมืองโรโซ (Roseau ) และพอร์ทเม้าท์ (Portsmouth) ช่วงเวลาเช้าตรู่ วันที่เราไปถึงหมอกลงหนา บรรยากาศเงียบสงบและวิวที่เต็มไปด้วยภูเขาสีเขียวขจี คงจะคล้ายกับที่หนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งอธิบายเกี่ยวกับประเทศโดมินิกาไว้ว่า "ถ้าคริสต์โตเฟอร์ โคลัมบัสเดินทางกลับมายังทะเลแคริบเบียนอีกครั้ง ประเทศโดมินิกาคงเป็นประเทศเดียวที่เขาจะจำได้" 

เมื่อเราเติมพลังกองทัพด้วยอาหารท้องถิ่นปรุงใหม่ร้อนๆ และเติมน้ำมันจนเต็มถังเรือแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะไปเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวบนเกาะของประเทศโดมินิกา ที่ๆ เราเดินทางมาถึงโดยความบังเอิญ
ออกเดินทางจากเมืองชาร์ลอตต์ อะมาลี (Charlotte Amalie) หมู่เกาะเวอร์จิ้นของสหรัฐอเมริกา (United States Virgin Islands)
วิวพระอาทิตย์ตกวันแรก 
กิจกรรมของลูกเรือ
กางใบเรือทั้งหมดเป็นครั้งแรก
สาหร่ายทะเลรอบเรือ
ผู้โดยสารบนเรือใบดี
เวลาที่ไม่มีลม กัปตันก็ของีบบ้าง
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่สอง
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่สาม
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่สี่
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่ห้า
วิวพระอาทิตย์ตกวันที่หก
ฝนครึ้มตอนบ่ายของวันที่เจ็ด
ล่องเรือใบมาถึงโดมินิกาตอนเช้าตรู่
วิวประเทศโดมินิกา
สถานที่ๆ เราล่องเรือใบมาถึงที่โดมินิกา