วันจันทร์, กันยายน 08, 2557

วิถีครอบครัวโกเมส

บทความนี้แปลมาจากบทความภาษาอังกฤษที่แหนเขียน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวที่ฮือฮามากที่สุดข่าวหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา คือข่าวเกี่ยวกับครอบครัวนักเดินเรือครอบครัวหนึ่งที่กำลังล่องเรือใบผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขาได้ออกเดินเรือจากประเทศเม็กซิโกมาไกลกว่า 900 ไมล์ แล้วเพราะเหตุใดพวกเขาจึงได้เป็นที่ฮือฮาในอเมริกา การเดินทางดูเหมือนว่าจะราบรื่นไปตามคลื่นและลมโดยไร้อุปสรรค ถ้าหากไม่มีใครป่วยซะก่อน เด็กหญิงวัยขวบเศษ สมาชิกนักเดินเรือที่อายุน้อยที่สุดของครอบครัวเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากอาการอาหารเป็นพิษขั้นรุนแรงในช่วงก่อนการเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ของเรือพาหนะทำงานผิดปกติรวมทั้งระบบไฟฟ้าทั้งหมดไม่ทำงาน จนท้ายที่สุด ครอบครัวนี้จึงได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเครื่องค้นหาสัญญาณฉุกเฉิน EPIRB (Emergency Position-Indicating Radio Beacon-EPIRB) ไปยังผู้ดูแลน่านน้ำของสหรัฐอเมริกา

ฉันไม่แน่ใจว่ามีการเสนอข่าวนี้ที่ประเทศไทย มาเก๊า หรือโปรตุเกสหรือไม่ เพราะเราไม่ได้ติดตามข่าวจากประเทศของเรามานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องความปลอดภัยและภาวะฉุกเฉินจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้คงจะเป็นสิ่งที่ครอบครัวและเพื่อนสนิทของเรากังวลมากที่สุดเช่นกัน ครอบครัวชาวอเมริกันตามข่าวนั้นมาจากเมืองซาน ดิเอโก้ หัวหน้าครอบครัวถือใบประกอบวิชาชีพกัปตันผู้ดูแลน่านน้ำของสหรัฐอเมริกา และภรรยาอดีตมีอาชีพเป็นครู คู่สามีภรรยาคู่นี้เดินทางล่องเรือกับลูกสาววัย 1 และ 3 ปี ที่ประเทศอเมริกาผู้คนถึงกับวิพากษ์วิจารณ์ว่าครอบครัวนี้เห็นแก่ตัวที่พาเด็กเล็กๆ เดินทางไปด้วย บางคนก็ว่าทั้งคู่ควรจะลงทุนซื้อโทรทัศน์จอยักษ์ให้เด็กๆ นั่งดูที่บ้าน การวิจารณ์บานปลายจนไปถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่ตำรวจน้ำไปช่วยเหลือครอบครัวนี้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ เงินนั้นมาจากผู้ที่เสียภาษีให้แก่รัฐบาลอเมริกันหรือเปล่า  

สำหรับฉัน ที่มีลูกน้อยวัยใกล้เคียงกับลูกคนเล็กของครอบครัวชาวอเมริกันครอบครัวนี้ ฉันดีใจที่หนูน้อยปลอดภัยและมีอาการดีขึ้น ซึ่งผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญประเด็นนี้เท่าไหร่นัก ฉันหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดกับครอบครัวเรา คนส่วนใหญ่กล่าวหานักเดินเรือที่มีเด็กเล็กร่วมเดินทางด้วยทั้งที่ไม่รู้ว่าเราเป็นอย่างไร ไม่รู้จักเรา หรือไม่รู้ว่ากิจกรรมหรือวิถีชีวิตแบบนี้ที่เรามีเป็นอย่างไร โครงการเดินทางล่องเรือรอบโลกของเราที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชนนั้นเปรียบเทียบไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคอฟแมนส์ (Kaufmans) แต่เหตุผลหลักๆ น่าจะมาจากประเด็นคล้ายคลึงกัน ก่อนที่เราจะเดินทางออกจากมาเก๊าเราได้ยินข่าวลือว่า รัฐบาลมาเก๊าไม่สนับสนุนการเดินทางล่องเรือรอบโลกของครอบครัวเรา ทั้งที่เราตั้งใจจะโปรโมทความสำคัญของประวัติศาสตร์การเดินทางๆ ทะเลระหว่างตะวันตกและตะวันออก (ระหว่างโปรตุเกส-จีน) รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเก๊า เนื่องจากเราพามาเรีย ดีเดินทางไปกับเราด้วย เราไม่รู้ว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่หากเป็นความจริงอย่างน้อยรัฐบาลมาเก๊าควรจะเปิดโอกาสให้เราได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางบ้าง จะให้เราทิ้งลูกของเราไว้ลำพังหรืออย่างไร บริษัทเอกชนของมาเก๊าแห่งหนึ่งเคยถามเราว่าแล้วถ้าเราเปลี่ยนใจไม่ยกเลิกการเดินทางล่ะ และยื่นข้อเสนอให้เงินสนับสนุนเพียงพอกับราคาของไวน์ขวดนึงเท่านั้น น่าเสียดายที่เราไม่ได้เป็นเพื่อนของคนใหญ่คนโตหรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ เพราะถ้าหากเราเป็น รัฐบาลคงเห็นความสำคัญของโครงการการเดินทางล่องเรือรอบโลก

ในบรรดาคนที่ฉันรู้จักทั้งหมดมีเพียงแค่เพื่อนร่วมงานคนเดียวเท่านั้นที่บอกกับฉันว่า การเดินทางของเราจะเปิดโอกาสให้ลูกน้อยของเราได้มีประสบการณ์ในโลกกว้าง และถ้าเขามีลูกเขาก็อยากจะทำสิ่งที่ใกล้เคียงเช่นนี้เหมือนกัน ปัญหาอยู่ที่ว่าเราเป็นเพียงแค่คนกลุ่มน้อยและเราไม่ได้ทำสิ่งที่คนในสังคมว่าเป็น “สิ่งปกติ” อะไรคือสิ่งที่สังคมเห็นว่าเป็น “สิ่งปกติ” ทำงานทั้งวันทั้งคืนหรือเปล่า บางคนบอกว่าพวกเขาต้องการความมั่นคงในชีวิต งานที่มั่นคง เงินจำนวนมากในบัญชีธนาคาร รถยนต์ราคาแพง หรือบ้านหลังใหญ่ แต่ฉันเชื่อว่าลึกๆ แล้ว คนส่วนใหญ่มักไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี และเราต้องยอมรับว่าเราทุกคนกลัวความเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เราอยู่แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่ออะไรถึงแม้ว่าเราจะไม่มีความสุขก็ตาม

เมื่อเราพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงหลายๆ ครั้ง ในที่สุดสิ่งนั้นก็อาจจะกลายเป็นจริง เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นเป็นจริงหรือไม่ การเดินเรือเป็นวิถีชิวิตอย่างหนึ่งและไม่ได้มีความอันตรายอย่างที่หลายๆ คนคิด มันเหมือนกับการขับรถที่อุบัติเหตุสามารถเกิดบนท้องถนนได้ทุกขณะ น้ำมันหมดกลางคัน อาจจะต้องเปลี่ยนยาง หรือเครื่องยนต์ร้อน แต่ถ้าคุณคิดว่าการใช้ชีวิตในสังคมเมืองปลอดภัยมากกว่า ลองเปรียบเทียบดูกับเหตุการณ์การลักพาตัวเด็ก หรือเด็กหายบ่อยๆ ในประเทศไทย ประเทศอเมริกาที่เด็กนักเรียนพกปืนไปยิงเพื่อนที่โรงเรียน ในมาเก๊าที่เด็กวัยรุ่นไม่เคารพผู้สูงวัยเพราะเห็นความสำคัญแต่ตัวเองเพียงอย่างเดียว หรือแม้กระทั่งในประเทศโปรตุเกสหรืออีกหลายๆ ประเทศที่เด็กวัยรุ่นกลายเป็นมนุษย์ในสังคมวัตถุกันไปหมด การเดินเรือยังถือว่าปลอดภัยกว่ามากเมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้ว

การเลี้ยงดูเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย การเดินทางและเลี้ยงลูกไปด้วยยิ่งเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก อย่างแรกเราจะเดินทางพร้อมสัมภาระรุงรัง สำหรับนักเดินเรือเป็นเรื่องแน่นอนที่ลูกของเราเป็นสิ่งเราคำนึงและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ครอบครัวเราไม่ได้ตัดสินใจเดินทางภายในเวลาข้ามคืน ทุกอย่างเราวางแผนตั้งแต่วันที่เรารู้ว่าเราต้องเริ่มเก็บเงินเพื่อซื้อเรือใบ เราเข้าใจว่าเพื่อนและครอบครัวของเราอาจจะไม่เห็นด้วยกับการเดินทางล่องเรือรอบโลก เรารู้ดีว่าลูกน้อยของเราอาจจะยังเล็กเกินไปที่จะสามารถจดจำประสบการณ์ต่างๆ แต่อย่างน้อยครอบครัวเราถือว่าเราได้ตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยของเราตั้งแต่ยังเล็ก ในวัยที่สำคัญที่สุดเพื่อจะเป็นรากฐานที่เราบ่มสอนเอง ไม่ใช่ฝากให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง พี่เลี้ยง หรือส่งไปโรงเรียนเนอสเซอรี่ที่เราไม่รู้ว่าครูหนุ่มสาวที่มาดูแลลูกของเรานั้นมีวัยวุฒิและคุณวุฒิมากแค่ไหน เราตัดสินใจที่จะดูแลลูกน้อยของเราในปฐมวัยเพื่อเป็นรากฐานให้เขาได้พัฒนาบุคลิกภาพและโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า และเราก็เชื่อว่าจะเป็นช่วงเวลาของครอบครัวที่ดีที่สุด

ฉันไม่เสียดายที่ตัดสินใจลาออกจากงานและใช้เวลาตลอด 24 ชั่วโมงกับครอบครัวของฉัน ฉันเคยทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ กลับมาถึงบ้านทำได้เพียงแค่ให้นมลูกน้อยทารกแรกเกิดช่วงเที่ยงคืน ฉันไม่ได้เห็นฟันซี่แรกของลูกที่เพิ่งงอกเพราะแม่บ้านเป็นคนบอกกับฉัน แต่ตอนนี้ฉันเป็นส่วนหนึ่งในก้าวแรกของมาเรีย ดี คำพูดคำแรก ป้อนอาหารแบบผู้ใหญ่คำแรก ว่ายน้ำทะเลครั้งแรก ทำท่าทางชี้นกชี้ไม้ครั้งแรก ฟันซี่ที่ 12 และอีก 2 ซี่ที่กำลังจะขึ้น ยังไม่รวมที่มาเรีย ดีอาละวาดครั้งแรก แย่งของเล่นกับเด็กคนอื่นครั้งแรก และกิจกรรมครั้งแรกอื่นๆ อีกหลายครั้งที่ฉันอยู่ร่วมในเหตุการณ์กับมาเรีย ดี

ถ้าถามเราว่าเรามีแผนการอะไรต่อไป เรายังไม่รู้ แต่หลังจากที่เราจบการเดินทางล่องเรือรอบโลกเพื่อเฉลิมฉลองการเดินทางๆ ทะเลจากตะวันตกสู่เอเชียแล้ว เราอาจจะกลับไปใช้ชีวิตที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเรียกว่า “ปกติ” ที่มาเก๊า ล่องเรือต่อไปเรื่อยๆ หรือตั้งรกรากที่ใดที่หนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เรายังไม่ได้วางแผนอะไร แต่เหมือนกับที่ครอบครัวคอฟแมนส์ (Kaufmans) ได้กล่าวไว้ตอนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “ได้โปรดเข้าใจด้วยว่า นี่เป็นวิถีชีวิตของครอบครัวเรา (…)”
เรียนรู้ด้วยตัวเอง
อ่านหนังสือนิทานเสียงร้องของสัตว์ มู บา ลา ลา ลา
ใช้เวลากับพ่อบริเวณริมชายหาด
มาเรีย ดี กับโนแอล

เรียนรู้วิธีทำเส้นสปาเก็ตตี้
อาบน้ำกลางแจ้งบนเรือ
ประสบการณ์ครั้งแรกบนเรือยาง
นั่งอ่านหนังสือกับแม่
หัดขึ้นบันได
มาเรีย ดี เล่นกับโนแอล
ล่องเรือกับพ่อ
ช่วยแม่จัดระเบียบตู้รองเท้า

เหตุผล 10 ข้อ ทำไมเราถึงควรท่องเที่ยว

บทความนี้แปลมาจากต้นฉบับบทความภาษาอังกฤษที่แหนเขียน

เมื่อเราพูดถึงการท่องเที่ยว ฉันเชื่อว่ากว่า 99 % ทุกคนล้วนมีสถานที่ในฝันที่ตนเองอยากจะเดินทางไปครั้งหนึ่งในชีวิต ฉันเองก็มีเหมือนกัน ความฝันของฉันๆ อยากจะเดินทางไปยังประเทศออสเตรียและเยอรมันเพื่อจะไปร่วมชมคอนเสิร์ตการแสดงสดดนตรีคลาสสิค ฉันหลงใหลดนตรีคลาสสิคทั้งที่ฉันอ่านเนื้อทำนองดนตรีไม่ออก แต่ฉันมีความรู้สึกว่าดนตรีคลาสสิคมีพลังและมีเสน่ห์ สถานที่ในฝันและกิจกรรมที่ฉันอยากทำช่างแตกต่างกับโครงการล่องเรือรอบโลกของครอบครัวเราอย่างสิ้นเชิง แต่ฉันมั่นใจว่าการเดินทางล่องเรือรอบโลกจะให้ประสบการณ์ที่มีค่าที่ฉันจะหาที่ไหนไม่ได้อีก และฉันก็เชื่อว่าจุดหมายที่เราจะล่องเรือไปบางแห่งนั้นก็คงจะเป็นสถานที่ในฝันของใครบางคนด้วยเช่นกัน

เราทุกคนชอบการเดินทาง การเดินทางเป็นเหมือนกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ทำกัน ไม่ว่าจุดประสงค์ของการเดินทางจะเพื่อการผ่อนคลาย ทำงาน เรียน ช้อปปิ้ง ศาสนา หรือเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ก็แล้วแต่ สำหรับผู้ที่ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำและมีเงินเป็นผลตอบแทนเพื่อนำมาจับจ่ายของที่เราอยากได้ เพื่อความสะดวกสบาย เพื่อให้มีเหมือนคนอื่นๆ ในสังคมมี วันหยุดพักผ่อนถือเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าอย่างนั้นแล้วลองนึกดูว่าเมื่อไหร่เป็นการพักผ่อนครั้งสุดท้ายที่ปราศจากนาฬิกาปลุก คอมพิวเตอร์ ไม่เช็คอีเมล์ ไม่ใส่นาฬิกา สำหรับฉันแล้วนึกไม่ออกสักครั้งนึง ในชีวิตของเรามีสิ่งอื่นๆ ที่สำคัญมากกว่าการทำงาน หรือเพื่อเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ความสัมพันธ์ และประสบการณ์ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญทั้งสิ้น

เหตุผล 10 ข้อ ทำไมเราถึงควรท่องเที่ยว อาจจะมีผู้ที่เห็นด้วยทั้งหมดหรือเห็นแย้ง แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของฉัน

1. เพื่อเปิดโลกทัศน์
2. เพื่อรู้จักและพบปะผู้คนใหม่ๆ
3. เพื่อให้เราได้รู้ว่าโลกของเรามีความน่ามหัศจรรย์แค่ไหน
4. เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากชีวิตประจำวัน
5. เพื่อใช้เวลาที่มีค่ากับครอบครัวหรือคนที่เรารัก
6. เพื่อประสบการณ์ใหม่ๆ
7. เพื่อเรียนรู้และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
8. เพื่อข้ามผ่านอุปสรรคและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในชีวิตคู่
9. เพื่อให้โอกาศแก่ตัวเอง
10. เพื่อโอกาสให้เราได้ใช้เงินที่หามาจากหยาดเหงื่อในขณะที่เรายังมีสุขภาพที่ดี

ตอนนี้ถึงคราวที่ทุกคนจะหาเวลาและสถานที่ปลายทางในวันหยุดพักร้อนครั้งต่อไปให้แก่ตัวคุณเอง


น้ำตกที่เมืองซิกิฮอร์ (Siquijor) ประเทศฟิลิปปินส์
โรงแรมที่พักบนเกาะโบราคาย (Boracay) ประเทศฟิลิปปินส์
ลิ้มลองอาหารท้องถิ่น
ถนนริมชายหาดมาเบลล่า (Marbella) ประเทศสเปน 
เรียนรู้ประวัติการเดินเรือในเมืองมะละกา (Malacca) ประเทศมาเลเซีย 
"ไหว้" วัฒนธรรมท้องถิ่นของไทยเรา
วิวด้านบนของเมืองซินทรา (Sintra) ในประเทศโปรตุเกส 
สถานที่นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกจากยูเนสโก้ 
อร่อยกับขนมท้องถิ่นที่เราโปรดปราน ทาร์ตไข่แห่งเมืองเบอแลง (Belém) ประเทศโปรตุเกส 
มารีน่าในเมืองอัลเมอเรีย (Almeria) ประเทศสเปน
สะพาน 25 เมษายน ในกรุงลิสบอน (Lisbon) ประเทศโปรตุเกส 
เล่นสกี กิจกรรมคู่รัก ที่ประเทศเกาหลี 
ใช้เวลาที่มีค่ากับเพื่อนๆ 
ใช้เวลากับคนที่เรารัก, สถานที่ในกรุงเทพฯ
โลกแห่งจินตนาการ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ 
จังหวัดอยุธยา ประเทศไทย ที่ๆ ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่างไทย-โปรตุเกสเริ่มต้น
ดื่มด่ำกับธรรมชาติ เกาะมันนอก จังหวัดระยอง